ผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดจากความไม่แน่นอนทางการค้าโลกในช่วงหลังมานี้ ปรากฏชัดในภูมิภาคเอเชีย
- ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจอาจลดลงได้ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปีจากผลกระทบของภาษีศุลกากร
- ในออสเตรเลีย ธนาคารกลางออสเตรเลียระบุว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจอ่อนตัวลง
- ในจีนแผ่นดินใหญ่ การชะลอตัวของ GDP แม้จะน้อยกว่าที่คาด แต่ก็สะท้อนผลของภาษีและความไม่แน่นอนทางการค้า
- ในอินเดีย การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจถูกปรับลดลงเช่นกัน แม้ว่าประเทศจะยังคงเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด
- ในญี่ปุ่น มีการคาดการณ์ว่ามาตรการภาษีจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อ GDP ของประเทศมากกว่าร้อยละ 1 ในปีนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการทำข้อตกลงล่าสุดแล้วก็ตาม
- ในเกาหลีใต้ ธนาคารแห่งประเทศเกาหลีระบุว่าความไม่แน่นอนที่ "มีนัยสำคัญ" เกี่ยวกับมาตรการภาษีส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แรงกดดันนี้เห็นได้ชัดในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปอาหาร เกษตรกรรม หรือการผลิตยานยนต์ ผู้ส่งออกไทยอย่าง Exotic Food ประเทศไทย กำลังปรับตัวต่อพลวัตทางการค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ควบคู่กับการดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และเป้าหมายของประเทศไทยในการบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593
ผู้ผลิตไทยจำนวนมากหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ตัวอย่างเช่น พี.เจ. ชลบุรี พาราวู้ด ที่เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลด้วย GROW with SAP เพื่อเสริมศักยภาพในการบริหารข้อมูลด้านความยั่งยืนและปรับตัวต่อภาษีศุลกากรที่ผันผวน
ธุรกิจทั่วโลกต่างตัดสินใจโดยคำนึงถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงของซัพพลายเชน แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ ภาษีศุลกากรกำลังสร้าง “ต้นทุนความยั่งยืนที่ซ่อนอยู่” ซึ่งส่งผลต่อการเงินขององค์กรมากกว่าที่คิด
ผลกระทบของภาษีต่อความยั่งยืน
เมื่อธุรกิจคำนวณต้นทุนคาร์บอน ส่วนใหญ่มักใช้การคำนวณโดยอิงจาก "การใช้จ่าย" (Spend-based method) นั่นหมายความว่าองค์กรต่างๆ กำหนดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยอิงจากต้นทุนของวัสดุและอุปกรณ์
เป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ใช้เมื่อเริ่มคำนวณปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แต่ไม่เหมาะสมกับการรับมือกับมาตรการภาษีที่มีความผันผวน
นั่นเป็นเพราะการคำนวณโดยอิงจากการใช้จ่ายเป็นเพียงการประมาณการ วิธีนี้เป็นไปตามเกณฑ์พื้นฐานที่ยอมรับได้ แต่ขาดความละเอียดและความแม่นยำ
แล้วมาตรการภาษีทำให้อัตราการคำนวณโดยอิงจากการใช้จ่ายสูงขึ้นได้อย่างไร? เมื่อธุรกิจคำนวณข้อมูล ESG จะต้องหาผลกระทบคาร์บอนของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด โดยใช้วิธีที่อิงจากการใช้จ่าย ธุรกิจจะนำต้นทุนของสินค้านำเข้ามาคูณด้วยปัจจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (emission factors) เพื่อให้ได้ค่าประมาณอย่างคร่าวๆ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับชุดข้อมูลที่ใช้ มาตรการภาษีสามารถทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่คำนวณได้สูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ปัจจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อิงจากการใช้จ่ายไม่เพียงแต่ไม่น่าเชื่อถือเท่านั้น แต่โดยปกติยังเป็นแบบอนุรักษ์นิยม โดยมีแนวโน้มที่จะทำให้การปล่อยก๊าซสูงเกินจริง มากกว่าการนับต่ำกว่าความเป็นจริง
นั่นหมายถึงการรับรู้การปล่อยก๊าซที่สูงขึ้น เป้าหมายการลดคาร์บอนที่สูงขึ้น และการซื้อคาร์บอนชดเชยที่มากขึ้น ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็ตาม ย่อมหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ชุดข้อมูลที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับการคำนวณคาร์บอนโดยอิงจากการใช้จ่ายไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคำนึงถึงอิทธิพลของมาตรการภาษีต่อต้นทุน บางชุดข้อมูลอาจรวมไว้ บางชุดข้อมูลก็ไม่ได้รวมไว้ แต่ไม่มีชุดข้อมูลใดที่สามารถติดตามความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงมาตรการภาษีที่เราเห็นในปีนี้ได้ ทำให้ธุรกิจไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่แท้จริงของตน
ผลกระทบเป็นลูกโซ่
การพึ่งพาชุดข้อมูลที่อิงจากการใช้จ่ายในการคำนวณการปล่อยก๊าซคาร์บอนส่งผลให้ข้อมูลคาร์บอนไม่แม่นยำ
การจัดการกับความไม่แน่นอนในข้อมูล ESG อาจหมายถึงการลงทุนในเทคโนโลยีลดคาร์บอนที่ผิดพลาด การแสวงหาโอกาสด้านความยั่งยืนที่ไม่ถูกต้อง หรือแม้แต่การบรรเทาความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่ไม่ตรงจุด ผู้นำธุรกิจที่พึ่งพาการคำนวณคาร์บอนที่ไม่แม่นยำและสูงเกินจริง อาจซื้อคาร์บอนชดเชยมากเกินไป และไม่แน่ใจว่าจุด Net Zero ที่แท้จริงอยู่ตรงไหน แม้แต่การตัดสินใจที่ถูกต้องก็อาจดูเหมือนผิดได้เมื่อคุณพึ่งพาข้อมูลที่ไม่แม่นยำ
กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนที่ไม่น่าเชื่อถือจะทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผลักไสผู้บริโภคที่มีความตระหนักมากขึ้นทุกที ประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนที่ย่ำแย่ยังทำให้การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและทางเลือกทางการเงินมีความยุ่งยากมากขึ้น
สำหรับผู้ส่งออกชาวไทย สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ Exotic Food Thailand ซึ่งเป็นผู้ชนะรางวัลผู้ส่งออกดีเด่นของนายกรัฐมนตรี ได้ผนวกแนวทางการทำฟาร์มแบบยั่งยืนเข้ากับรูปแบบการจัดหาวัตถุดิบ ในทั้งสองกรณี ข้อมูลคาร์บอนที่แม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญในการพิสูจน์ความก้าวหน้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั่วโลก
กล่าวโดยสรุป การคำนวณโดยอิงจากการใช้จ่ายสร้างความเสี่ยงทางธุรกิจที่ไม่จำเป็น
วิธีการคำนวณแบบ Activity-based คือทางออก
มีอีกทางเลือกหนึ่ง ทางเลือกคือการคำนวณโดยอิงจากกิจกรรม (Activity-based calculations) ซึ่งใช้ข้อมูลจากการดำเนินงานของธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลปริมาณเป็นกิโลกรัมที่ซื้อ หรือระยะทางเป็นกิโลเมตรที่เดินทาง ถูกนำมาคูณด้วยปัจจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้จำหน่ายหรือปัจจัยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
การเปลี่ยนไปใช้การคำนวณคาร์บอนโดยอิงจากกิจกรรม ตามที่กำหนดโดย พิธีสารก๊าซเรือนกระจก (GHG Protocol) จะช่วยปกป้องธุรกิจจากอิทธิพลของมาตรการภาษี ลดต้นทุน และเร่งการลดคาร์บอน
การปล่อยก๊าซคาร์บอนที่คำนวณโดยใช้ข้อมูลกิจกรรมจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่ามาก และไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของมาตรการภาษี อัตราภาษีที่สูงขึ้นร้อยละ 50 จะไม่มีผลกระทบต่อระยะทางที่ผลิตภัณฑ์เดินทางหรือน้ำหนักของสินค้าที่ซื้อ
โอกาสในการลดคาร์บอนสามารถระบุได้อย่างมั่นใจโดยใช้ปริมาณกิจกรรมทางกายภาพ ไม่ใช่ตัวเงิน ข้อมูลคาร์บอนที่อิงจากกิจกรรมสามารถจำแนกตามงบกำไรขาดทุน (P&L) แสดงรายได้และขจัดความเสี่ยง
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้ บริษัทข้ามชาติหลายแห่งในประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อบังคับระดับโลก เช่น ข้อกำหนดการรายงานความยั่งยืนขององค์กรแห่งสหภาพยุโรป (EU Corporate Sustainability Reporting Directive - CSRD) ซึ่งยอมรับการคำนวณคาร์บอนทั้งแบบอิงจากการใช้จ่ายและอิงจากกิจกรรม ธุรกิจที่เข้าร่วมในตลาดคาร์บอนโดยสมัครใจหรือพัฒนากลยุทธ์การลดคาร์บอนก็สามารถทำได้โดยใช้การคำนวณแบบอิงจากการใช้จ่าย
นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นเส้นทางการลดคาร์บอนได้ แต่ในบางจุด ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการคำนวณโดยอิงจากการใช้จ่ายจะเริ่มมีข้อบกพร่อง ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจะนำพาธุรกิจไปในทิศทางที่ผิด และจำเป็นต้องมีสิ่งที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
การใช้ข้อมูลเพื่อจำกัดต้นทุนมาตรการภาษีและส่งเสริมความยั่งยืน
ข้อมูลที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจทางธุรกิจที่ดี ซึ่งดีต่อทั้งรายได้และความยั่งยืน
ความไม่แน่นอนสามารถสร้างความเสียหายได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมาตรการภาษีที่มีความผันผวนจึงสร้างความวุ่นวายได้มาก แต่ยังทำให้ต้นทุนสูงขึ้นสำหรับธุรกิจที่ใช้วิธีการที่อิงจากการใช้จ่ายเพื่อประมาณการการปล่อยก๊าซคาร์บอน การเปลี่ยนไปใช้การคำนวณโดยอิงจากกิจกรรมจะช่วยเผยโอกาสและคุณค่าที่ซ่อนอยู่ในการลดคาร์บอน ขณะเดียวกันก็ปกป้องคุณจากภาวะเงินเฟ้อคาร์บอนจากมาตรการภาษี
สำหรับองค์กรไทย สิ่งนี้สอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล และคำมั่นของชาติที่จะบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) โอกาสสำหรับทุกธุรกิจในประเทศไทยคือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลการดำเนินงานเพื่อทำให้ความยั่งยืนสร้างกำไร และความสามารถในการทำกำไรมีความยั่งยืน
โดยคุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคอินโดจีน บริษัท SAP
