17 ปีหลังจากบริษัทได้ก่อตั้งขึ้นภายในห้องใต้ดิน จากการรวมตัวของสามนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ ในที่สุดบริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอทก็ก้าวสู่เส้นชัยด้วยจำนวนพนักงานปัจจุบันที่มีมากถึง 1,000 คน
บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท (Universal Robots) เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ่นยนต์สัญชาติเดนมาร์กที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นบริษัทแรกในแวดวงแห่งนี้ที่มีจำนวนพนักงานรวมทั้งสิ้น 1,000 คน โดยถือเป็นหนึ่งในบริษัทเพียงไม่กี่แห่งของประเทศเดนมาร์กที่ก่อตั้งขึ้นในสหัสวรรษนี้และสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เป็นผลสำเร็จ
นับตั้งแต่เปิดตัวหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน (โคบอท) ตัวแรกในปี 2551 บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท ก็ได้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้นำตลาดระดับโลกในด้านโคบอทที่มีสำนักงานในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ความสำเร็จของบริษัทได้สะท้อนให้เห็นการเติบโตของคลัสเตอร์ตลาดหุ่นยนต์ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าปัจจุบันเดนมาร์กเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์มากกว่า 400 แห่ง และทำให้เมืองโอเดนเซของประเทศเดนมาร์กเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านวิทยาการหุ่นยนต์ชั้นนำของโลก
นายคิม โพลเซ่น ประธานบริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท ให้ความเห็นว่า: "นี่เป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับเรา และเรามีความภูมิใจอย่างยิ่งกับเส้นทางการพัฒนาของเราที่เริ่มต้นจากห้องใต้ดินของมหาวิทยาลัยจนกลายมาเป็นบริษัทสตาร์ทอัพของท้องถิ่นและก้าวสู่การเป็นผู้บุกเบิกโคบอทระดับโลก จนกระทั่งได้เป็นผู้นำตลาดแห่งนี้ในท้ายที่สุด แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าเรามีผลิตภัณฑ์ ที่ยอดเยี่ยม และหลายบริษัททั่วโลกสามารถเห็นประโยชน์จากการใช้หุ่นยนต์ของเราเพื่อพัฒนาธุรกิจของพวกเขา"
การเดินทางตลอดระยะเวลา 17 ปี
บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท เริ่มต้นขึ้นในปี 2548 เมื่อนักวิจัยหนุ่มไฟแรงสามคน ได้แก่ นายเอสเบน ออสเตอร์การ์ด (Esben Østergaard) นายแคสเปอร์ สทอย (Kasper Støy) และนายคริสเตียน คัสโซว (Kristian Kassow) จากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นเดนมาร์ก (Southern Denmark) มีความรู้สึกตรงกันว่าหุ่นยนต์ในยุคนั้นที่มีน้ำหนักมาก ราคาแพง และเต็มไปด้วยความยุ่งยากซับซ้อนในการใช้งาน จึงทำให้พวกเขามีแนวความคิดที่จะสร้างหุ่นยนต์ที่มีความยืดหยุ่น เสริมสร้างความปลอดภัยในการทำงาน ทั้งยังสามารถติดตั้งและโปรแกรมได้อย่างง่ายดาย
นับตั้งแต่นั้นมา บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท ก็ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์โคบอทออกสู่ตลาดในหลากหลายประเภท และล่าสุดได้พัฒนายูอาร์20 (UR20 รุ่นใหม่) เป็นสมาชิกสำคัญในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย โดยปัจจุบันบริษัทสามารถจำหน่ายโคบอทไปแล้วกว่า 50,000 ตัวทั่วโลก
ในขณะที่บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ่นยนต์สัญชาติเดนมาร์กก็กำลังเฟื่องฟูด้วยเช่นกัน โดยเมืองโอเดนเซที่มีประชากร 200,000 คนได้กลายเป็นศูนย์กลางของตลาดหุ่นยนต์ไปแล้วในตอนนี้ ทั้งนี้คาดกันว่าจำนวนพนักงานของบริษัทหุ่นยนต์สัญชาติเดนมาร์กจะเพิ่มสูงถึง 23,000 คนภายในปี 2568 ในขณะที่ยอดรวมรายได้ทั้งหมดของอุตสาหกรรมแห่งนี้มีมูลค่ามากกว่า 2,800 ล้านยูโร หรือ 105,000 ล้านบาท
ในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัท ยูนิเวอร์ซัล โรบอท ได้ว่าจ้างพนักงานมากกว่า 200 คนเพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทพร้อมเดินหน้าเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมหาศาลในอนาคต
นายคิม โพลเซ่นกล่าวเพิ่มเติมว่า: "จากมุมมองภายนอกถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก แต่เทคโนโลยีนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ความสำเร็จที่เราได้รับเกี่ยวโยงโดยตรงกับการที่เรามีบุคลากรที่เหมาะสมเข้ามาร่วมงาน โดยที่ยูอาร์นั้น เรามีพนักงานที่เปี่ยมด้วยทักษะและมีความคิดในการสร้างสรรค์นวัตกรรมล้ำสมัย ซึ่งพร้อมผลักดันทุกขีดจำกัดให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องได้อย่างง่ายดายและเป็นไปโดยอัตโนมัติ
"หากผู้คนเมื่อ 10 ปีที่แล้วได้เห็นสิ่งที่โคบอทสามารถทำได้ในวันนี้ พวกเขาจะต้องประหลาดใจอย่างมาก และเมื่อมองไปข้างหน้า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ควรจะเป็นแบบเดียวกันนี้อีกในอีก 10 ปีข้างหน้า การทำให้ระบบงานอัตโนมัติที่มีความซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายคือเป้าหมายหลักที่สร้างแรงจูงใจให้กับเราอย่างมาก
ทั้งนี้ ตลาดทั่วโลกจะมีความต้องการระบบอัตโนมัติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปีอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้: ความต้องการที่จะปกป้องพนักงานจากงานที่เป็นอันตรายและซ้ำซากจำเจ แนวคิด Reshoring ซึ่งเป็นกระบวนการส่งกลับการผลิตและการผลิตสินค้ากลับไปยังประเทศของตัวเอง หรือเรียกว่า "การกลับบ้าน" โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ เริ่มย้ายการผลิตเข้ามาใกล้บ้านของตัวเองมากขึ้นเพื่อตอบสนองต่อโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และปัจจัยสำคัญยิ่งก็คือการขาดแคลนแรงงานซึ่งมีแนวโน้มจะเลวร้ายลงเรื่อยๆนับจากนี้
นายคิม โพลเซ่นให้มุมองเชิงบวกต่อโลกอนาคตว่า: "เรามีโคบอทรุ่นใหม่พร้อมในมือแล้วและยูอาร์ (UR20) คือโคบอทรุ่นแรกที่เราจะใช้บุกตลาด โดยจากตัวเลขสถิติได้แสดงเห็นว่าปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีศักยภาพทั่วโลกได้เพียงประมาณสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ด้วยศักยภาพของตลาดที่มีอย่างมากมายมหาศาล ทำให้เราพร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสายหลักที่เราดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าสายตาของเรากำลังตั้งมั่นอยู่ที่อนาคต"