NetApp สานฝัน DreamWorks คลอดภาคต่อหนังแอนิเมชันชื่อดัง The Boss Baby: Family Business


เดอะ บอส เบบี้ 2 ภาพยนตร์แอนิเมชันภาคต่อของเรื่อง เดอะ บอส เบบี้ จากบริษัทดรีมเวิกส์ ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เมื่อปี 2017 จ่อคิวเข้าฉายในประเทศไทยภายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยเนื้อหาของภาคต่อยังคงเกี่ยวข้องกับสองพี่น้องตระกูลเทมเปิลตัน นำโดย ทิม (เจมส์ มาร์สเดน) และบอส เบบี้ เท็ด (อเล็ค บอลด์วิน) ที่ได้เติบโตขึ้นและเริ่มห่างจากกันไป ซึ่งเทคโนโลยีจากเน็ตแอพได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวที่สุดของดรีมเวิกส์ให้กลายเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอนิเมชันฟอร์มยักษ์ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นี้

 

การทำงานเป็นทีมของตัวเอกในภาพยนตร์ เปรียบเสมือนการร่วมมือของเน็ตแอพ และดรีมเวิกส์

ในภาพยนตร์ CG ทุกเรื่องที่ผลิตในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดรีมเวิกส์ใช้เทคโนโลยีของเน็ตแอพมากมาย ซึ่งรวมถึงบริการข้อมูลบนคลาวด์ ระบบจัดเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์ข้อมูล การจำลองเสมือนจริง และเครื่องมือที่ช่วยให้การจัดการแอพพลิเคชันและข้อมูลง่ายขึ้

 

“เน็ตแอพเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แอนิเมชัน CG ทุกเรื่องที่ผลิตขึ้นที่ดรีมเวิกส์สก็อตตี้ มิลเลอร์, ผู้พัฒนาเทคโนโลยีและรองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมแพลตฟอร์มและบริการของ ดรีมเวิกส์ แอนิเมชัน กล่าว “เทคโนโลยีและโซลูชันของเน็ตแอพ เอื้อให้การทำงานของทีมวิศวกรของเราสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพวกเขาสามารถมุ่งความสนใจไปที่ความต้องการของทีมครีเอทีฟและการผลิตของเรา เพราะมีระบบหลังบ้านและการจัดเก็บข้อมูลที่ครอบคลุม”

 

เช่นเดียวกับพี่น้องจากในเรื่อง เดอะ บอส เบบี้ ทีมจากดรีมเวิกส์และเน็ตแอพ ได้ร่วมต่อสู้กับแผนดำเนินงานที่พลิกผันในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น  เวลาแฝง การหยุดทำงาน การจำกัดความจุ งานการจัดการที่น่ากลัว เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด และความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เป็นต้น

 

ดรีมเวิกส์ ใช้เทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของเน็ตแอพเพื่อ:

  • จัดการไฟล์ดิจิตอลนับพันล้านไฟล์
  • เพิ่มประสิทธิภาพเวิร์กโฟลว์ในระบบคลาวด์และในศูนย์ข้อมูล
  • มอบประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า เพื่ออำนวยต่อศิลปิน

 

100% Uptime = ภาพยนตร์ที่ผลิตตรงเวลา

ด้วยเวลาทำงาน 100% ที่สนับสนุนโดย Clustered ONTAP ดรีมเวิกส์ได้ขยายคลัสเตอร์ของเน็ตแอพ อัพเกรดคอนโทรลเลอร์ แนะนำสื่อจัดเก็บข้อมูลรุ่นใหม่ และส่วนประกอบที่เปลี่ยนใหม่โดยไม่กระทบต่อผู้ใช้ใด ๆ อีกทั้ง ดรีมเวิกส์ได้เสร็จสิ้นการอัพเกรดแบบออลแฟลชในศูนย์ข้อมูลของตนในขณะใช้งานจริง โดยไม่มีการหยุดทำงานหรือหยุดชะงัก การอัพเกรดเน็ตแอพแบบออลแฟลชนี้ทำให้ดรีมเวิกส์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ศูนย์ข้อมูลอันมีค่าได้ ส่งผลให้ประหยัดพลังงานและระบายความร้อนได้มาก รวมถึงเวลาแฝงที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้นและย่นระยะเวลาในการรอของศิลปิน
 
สภาพแวดล้อมข้อมูลที่กว้างขวางของสตูดิโอได้รับการดูแลโดยทีมสนับสนุนขนาดเล็ก ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณการจัดการข้อมูลและเครื่องมือ AIOps เช่น NetApp ONTAP และ NetApp Active IQ Unified Manager ในขณะที่ ดรีมเวิกส์ ยังคงขยายการสร้างเนื้อหามัลติมีเดียนอกเหนือจากภาพยนตร์แอนิเมชันทั่วไป ความสามารถในการจัดการข้อมูลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจึงกลายเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่
 
“หนึ่งเฟรมของภาพยนตร์ประกอบด้วยไฟล์ขนาดเล็กหลายร้อยไฟล์ โดยภาพยนตร์หนึ่งเรื่องสามารถประกอบด้วยเฟรมกว่า 500 ล้านเฟรม ซึ่งเปรียบเสมือนทรัพย์สินดิจิทัลที่สำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนั้น แต่สำหรับการใช้งานในอนาคตที่จะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาคต่อ ซีรีส์ทางโทรทัศน์ การใช้งานในสวนสนุก การแสดงสด และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเรากำหนดเวอร์ชันของไฟล์แบบโต้ตอบ เพื่อให้ศิลปินสามารถเข้าถึงและแก้ไขไฟล์ได้อย่างง่ายดายในอนาคตเมื่อต้องการ โดยเราไม่เพียงแต่สร้างข้อมูลในรูปแบบขององค์ประกอบสินทรัพย์ดิจิทัลสำหรับภาพยนตร์ของเรา แต่เรายังใช้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการสร้างและรวมสินทรัพย์เหล่านั้น เพื่อช่วยในการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานของเราให้เหมาะสม” เจฟฟ์ ไวค์ ซีทีโอของ ดรีมเวิกส์ แอนิเมชัน กล่าว 

 

โรคระบาดโควิด-19 เป็นตัวแปรที่ใหญ่ที่สุด

ในช่วงของการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง เดอะ บอส เบบี้ วายร้ายตัวใหม่ปรากฎตัวขึ้นในรูปแบบของโรคระบาดที่ไม่คาดคิด และส่งผลให้ทุกกระบวนการผลิตต้องอาศัยการทำงานจากบ้าน ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคชิ้นใหญ่ โดยเฉพาะสำหรับการผลิต เดอะ บอส เบบี้ 2 ที่เป็นภาพยนตร์ที่ยาวของบริษัทดรีมเวิกส์ และประกอบด้วยเฟรมการถ่ายทำทั้งหมด 140,712 เฟรม ซึ่งมากกว่า เดอะ บอส เบบี้ 1 ที่มีเพียง 125,474 เฟรม  

 

เช่นเดียวกับการผลิต เดอะ ครู๊ดส์ตะลุยโลกใบใหม่ (The Croods: A New Age) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันอีกหนึ่งเรื่องของบริษัทดรีมเวิกส์ ที่ลงฉายออกสู่ตลาดในช่วงปีที่ผ่านมา เน็ตแอพช่วยให้ดรีมเวิกส์ผลิตผลงานผ่านโซลูชันที่จำเป็น เพื่อรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงก้าวไปสู่ความสำเร็จในการตีตลาดแอนิเมชันอีกด้วย

 

ทั้งนี้ บทสรุปที่ได้ก็คือ 99% ของการสภาพแสงในภาพยนตร์ 85% ของการสร้างภาพจำลองเสมือนจริง (การเรนเดอร์ภาพยนตร์ และ 95% ของฉากที่ใช้เทคนิคพิเศษร่วม (fx shots) เพื่อผลิตภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บอส เบบี้ 2 ล้วนอาศัยการทำงานจากบ้านทั้งสิ้น โดยทีมผลิตต้องทำการเรนเดอร์เฉลี่ยกว่า 60,241 ครั้งต่อวัน โดยใช้ชั่วโมงการเรนเดอร์หลักรวม 300 ล้านชั่วโมงเพื่อสร้างภาพยนตร์ให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยไฟล์ดิจิตอลมากกว่า 268 ล้านไฟล์ และใช้พื้นที่เก็บข้อมูลกว่า 955 เทราไบต์

 

ซันเจย์ โรฮัตจีรองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ เน็ตแอพ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า เรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่เทคโนโลยีของเรามีบทบาทสำคัญในการก้าวข้ามข้อจำกัดของการสร้างภาพยนตร์จากบ้าน และสามารถนำพา เดอะ บอส เบบี้ 2 ก้าวสู่เส้นชัยอย่างเสร็จสมบูรณ์ เราคิดว่าตัว เดอะ บอส เบบี้ เองก็เห็นด้วยเช่นเดียวกันว่าทุกคนที่มีส่วนร่วมกับการผลิตครั้งนี้ สมควรได้รับคุกกี้เป็นรางวัล

การบริการสตรีมมิ่ง ที่มุ่งเน้นการค้นหาสมาชิกหน้าใหม่ ผ่านภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาท้องถิ่น เช่นเรื่อง เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ ที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วทั้งทวีปเอเชีย รวมถึงภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก อย่างเรื่อง พาราไซต์: ชนชั้นปรสิต ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์ สาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อปีที่ผ่านมา ดังนั้น อุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงในเอเชียแปซิฟิกจึงเป็นแพลตฟอร์มที่กำลังเติบโตถึงขีดสุด ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จในระดับสากลอีกด้วย ทั้งนี้ สำหรับเน็ตแอพ เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถร่วมมือกับบริษัทผลิตภาพยนตร์จากหลากหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับที่เราได้ร่วมมือกับดรีมเวิกส์ เพื่อนำคุณค่าของวัฒนธรรมและสังคมท้องถิ่นออกสู่โลกภายนอก ผ่านการผลิตภาพยนตร์มากยิ่งขึ้นต่อไป” นาย โรฮัตจี กล่าวเสริม

 

ในปี 2018 ดรีมเวิกส์ และ เน็ตแอพ จับมือเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการข้อมูลแบบไฮบริดคลาวด์ของสตูดิโอดรีมเวิกส์ และสนับสนุนธุรกิจการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันของบริษัทในอนาคต

 

กุญแจสำคัญของดรีมเวิกส์ คือศิลปินผู้สร้างสรรค์จำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและพร้อมเสมอสำหรับการทำงาน ทั้งนี้ การเป็นพันธมิตรด้านนวัตกรรมทางวิศวกรรมร่วมกับเน็ตแอพ ทำให้ดรีมเวิกส์เป็นผู้นำเทรนด์การผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันแบบล้ำสมัย ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่สะดวกและรวดเร็วของเน็ตแอพ

 

เน็ตแอพ ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมั่นคงให้กับเรา และเรามั่นใจในบุคลากรของเน็ตแอพที่ได้ทำงานเคียงข้างกับวิศวกรและทีมผลิตของเราอย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์กลยุทธ์การผลิตภาพยนตร์ของเราและก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคต เคท สวอนเบิร์กรองประธานอาวุโสฝ่ายการสื่อสารเทคโนโลยีและฝ่ายพันธมิตรทางธุรกิจของ ดรีมเวิกส์ แอนิเมชัน กล่าวปิดท้าย

ใหม่กว่า เก่ากว่า