การจ่ายตามการใช้งานจริงของ SaaS ไม่ได้ทางออกในระยะยาว
เมื่อต้องเลือกบริการไฟล์ ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางมักตัดสินใจเริ่มต้นด้วยบริการ SaaS บนคลาวด์แบบ "จ่ายตามการใช้งาน" เนื่องจากมีต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำและต้องการการบำรุงรักษาต่ำ บริการคลาวด์มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนสำหรับบริษัทขนาดเล็ก แต่ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วขององค์กร รูปแบบการชำระเงินแบบสมัครสมาชิกรายเดือนหรือรายปีตามหมายเลขบัญชีจะกลายเป็นภาระใหญ่ในไม่ช้า ยกตัวอย่าง Google Workspace ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด บริการแผน Business Standard มีค่าใช้จ่าย 370 บาทต่อผู้ใช้สำหรับการสมัครสมาชิก 1 เดือน ซึ่งเป็นจำนวนราว 4,500 บาทต่อปี หากบริษัทเติบโตจากขนาดเล็กเป็นมากกว่า 30 คนใน 3 ปีจะต้องเผชิญกับค่าธรรมเนียมการสมัครสมาชิกราว 400,000 บาท และหากบริษัทเติบโตถึง 100 คน ค่าสมัครรายปีจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 1.3 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างภาระทางการเงินที่ไม่มีสิ้นสุด
File Server แบบดั้งเดิมไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
แทนที่การสมัครใช้บริการคลาวด์ บริษัทขนาดเล็กหลายแห่งเลือกที่จะซื้อฮาร์ดแวร์ ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ Windows File Server และซื้อสิทธิ์การใช้งาน CAL เพื่อรวบรวม File Server แบบเดิม ทางเลือกนี้ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการเป็นเจ้าของข้อมูล รวมถึงกความเร็วและความปลอดภัยที่มากขึ้นผ่านบริการอินทราเน็ตขององค์กร อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาต Windows File Server และ CAL นั้นคล้ายกับบริการคลาวด์ตรงที่ต้องมีการเสียค่าสมัครสมาชิกซ้ำ ๆซึ่งสามารถเพิ่มต้นทุนได้อย่างรวดเร็วเมื่อจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น สำหรับบริษัทที่มีพนักงาน 100 คนค่าใช้จ่ายของฮาร์ดแวร์ใบอนุญาตซอฟต์แวร์และ CAL จะอยู่ประมาณ 300,000 บาทในช่วง 3 ปี นอกจากนี้การรองรับของระบบ File Server แบบเดิมในการเข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต การทำงานร่วมกันบนไฟล์ และแอปพลิเคชันมือถือยังถือว่าอ่อนแอ ข้อจำกัดดังกล่าวอาจลดประสิทธิภาพการทำงานของทีมในช่วงเวลาที่ต้องทำงานระยะไกลเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส
‘เซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชัน NAS’ เป็นทางเลือกที่ 3 ได้อย่างไร?
แม้ว่า NAS (Network-attached Storage) จะเป็นสิ่งที่พูดถึงกันทั่วไปในสาขาไอทีแบบดั้งเดิมในฐานะอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล แต่ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีแอปพลิเคชันในตัวที่เสริมมามากมาย และกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของ File Server สำหรับ SMB หลายแห่ง ผู้จำหน่าย NAS เช่น Synology ได้พัฒนาชุดการทำงานร่วมกันของไฟล์ที่มีลักษณะคล้าย SaaS ซึ่งจะเปลี่ยน NAS จากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลไปเป็นเซิร์ฟเวอร์แอปพลิเคชันที่ให้ฟังก์ชันซอฟต์แวร์ เช่น บริการจัดการไฟล์บนเว็บ เครื่องมือการทำงานร่วมกันของไฟล์ และรวมไปถึงแอปพลิเคชันการสำรองข้อมูลในตัวอุปกรณ์ NAS ในปัจจุบันมอบโซลูชันแบบครบวงจร โดยไม่มีค่าธรรมเนียมซ้ำซาก สำหรับโซลูชัน File Server สำหรับพนักงาน 200 คน ธุรกิจ SMB สามารถซื้ออุปกรณ์ NAS พร้อมฮาร์ดไดรฟ์ได้ในราคาประมาณ 100,000 บาท ซึ่งสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งซอฟต์แวร์การจัดการไฟล์ได้โดยไม่ต้องซื้อลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์เพิ่มเติม พร้อมตอบสนองความต้องการในการจัดการไฟล์ของธุรกิจในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของน้อยกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ File Server แบบเดิมและน้อยกว่าการสมัครใช้งานระบบคลาวด์มากกว่า 90% นอกจากนี้ NAS ยังมีความสามารถในการปรับขนาดที่ยอดเยี่ยม ช่วยให้ธุรกิจที่กำลังเติบโตสามารถขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูลตามความต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายโดยการเพิ่มฮาร์ดไดรฟ์ใหม่หรือติดตั้งยูนิตส่วนขยายใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น NAS ที่ทันสมัยส่วนใหญ่ยังมีกลไกการป้องกันข้อมูลในตัว เช่น ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลในตัวของ Synology ที่สามารถสำรองข้อมูลจาก NAS ไปยังอุปกรณ์ภายนอก หรือ NAS เครื่องอื่น หรือแม้กระทั่วระบบคลาวด์ โดยไม่จำเป็นต้องค้นหาและซื้อซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งแอปพลิเคชันนี้มีความสำคัญมากเพราะช่วยให้เพิ่มความปลอดภัยให้ข้อมูลธุรกิจของคุณจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน
สิ่งที่ธุรกิจควรพิจารณาเมื่อเลือก File Server
โดยสรุปแล้ว แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจะเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับ SMB แต่ด้วยการเลือกปรับใช้งานที่เหมาะสมและราบรื่น ก็เป็นไปได้ที่ธุรกิจจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ธุรกิจ SMB ไม่ควรมองข้ามการเติบโตของพนักงาน ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ ความสามารถในการปรับขนาดของพื้นที่จัดเก็บข้อมูล การเข้าถึงจากระยะไกล รวมถึงการรองรับบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และความปลอดภัยของข้อมูล เมื่อประเมินโซลูชัน File Server ขององค์กร เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น นอกเหนือจากเซิร์ฟเวอร์แบบดั้งเดิมและบริการคลาวด์แล้ว NAS ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
