iPad Pro ใหม่คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในดีไซน์ใหม่ที่ทั้งเบาและบาง พร้อมด้วยจอภาพ Ultra Retina XDR สุดล้ำ และประสิทธิภาพที่เร็วสุดขีดจากชิป M4 ที่มีความสามารถด้าน AI อันทรงพลัง
คูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย วันนี้ Apple เผยโฉม iPad Pro ใหม่สุดล้ำในดีไซน์ที่เบาและบางเฉียบ ซึ่งยกระดับความสะดวกในการพกพาและประสิทธิภาพไปอีกขั้น และ iPad Pro ใหม่ในสีเงินและสีดำสเปซแบล็คก็มีให้เลือกสองขนาด นั่นคือ รุ่น 13 นิ้ว ที่ใหญ่เต็มตา และรุ่น 11 นิ้ว ที่พกพาสะดวกสุดๆ ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมจอภาพที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกอย่างจอภาพ Ultra Retina XDR ใหม่ที่พลิกวงการด้วยเทคโนโลยี OLED สองชั้นสุดล้ำเพื่อมอบประสบการณ์ด้านภาพที่เหนือชั้น และหัวใจสำคัญที่ทำให้ iPad Pro ใหม่เป็นจริงได้ก็คือชิป M4 ใหม่ ซึ่งถือเป็น Apple Silicon เจเนอเรชั่นถัดไปที่ก้าวกระโดดทั้งในด้านประสิทธิภาพและความสามารถ นอกจากนี้ชิป M4 ยังมาพร้อมเอนจิ้นจอภาพแบบใหม่หมดที่ทำให้จอภาพ Ultra Retina XDR โดดเด่นทั้งในด้านความแม่นยำ สีสัน และความสว่าง เมื่อมีทั้ง CPU ใหม่, GPU เจเนอเรชั่นถัดไปที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรม GPU ที่เปิดตัวไปกับชิป M3 และ Neural Engine ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา iPad Pro จึงเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังเหลือล้นสำหรับ AI ยิ่งกว่านั้น iPad Pro ยังอเนกประสงค์และมากความสามารถยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมแบบใหม่หมด อย่าง Apple Pencil Pro ที่มาพร้อมการโต้ตอบวิธีใหม่ๆ ที่ทรงพลังเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Pencil ไปอีกขั้น รวมถึง Magic Keyboard ใหม่ที่บางเบาขึ้นและอัดแน่นด้วยคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา iPad Pro, Apple Pencil Pro และ Magic Keyboard ใหม่จะเปิดให้สั่งซื้อเร็วๆ นี้
"iPad Pro เสริมศักยภาพให้กับมือโปรหลากหลายกลุ่ม และเหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการสัมผัสกับที่สุดของประสบการณ์ iPad ซึ่งรวมจอภาพที่ดีที่สุดในโลกเข้ากับประสิทธิภาพอันโดดเด่นของชิปตระกูล M รุ่นล่าสุด และอุปกรณ์เสริมล้ำสมัย ทั้งหมดนี้ในดีไซน์ที่พกพาง่าย มาวันนี้เราก้าวไปอีกระดับด้วย iPad Pro ที่เบาและบางเฉียบ ซึ่งถือเป็นการอัปเดต iPad Pro ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยมีมาอีกด้วย" John Ternus รองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมฮาร์ดแวร์ของ Apple กล่าว "ทั้งจอภาพ Ultra Retina XDR สุดล้ำ, ประสิทธิภาพที่แรงยิ่งขึ้นไปอีกของชิป M4, ความสามารถด้าน AI อันน่าทึ่ง รวมถึงการรองรับ Apple Pencil Pro และ Magic Keyboard แบบใหม่หมด จึงไม่มีอุปกรณ์ไหนเหมือน iPad Pro ใหม่"
ผลิตภัณฑ์ Apple ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา
iPad Pro เป็นผลิตภัณฑ์ Apple ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมาและโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่เบาและบางเฉียบ จึงพกพาสะดวกยิ่งขึ้นไปอีก โดยรุ่น 11 นิ้ว บางเพียง 5.3 มม. ส่วนรุ่น 13 นิ้ว บางยิ่งกว่าที่ 5.1 มม. ในขณะที่ทั้งสองรุ่นมีความแข็งแกร่งไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้า รุ่น 11 นิ้ว มีน้ำหนักไม่ถึง 500 กรัม ส่วนรุ่น 13 นิ้ว มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนหน้าถึงประมาณ 100 กรัม ช่วยให้ผู้ใช้ระดับโปรสามารถขยับขยายเวิร์กโฟลว์ด้วยวิธีใหม่ๆ ในหลากหลายที่มากขึ้น นอกจากนี้ iPad Pro ยังมีให้เลือก 2 สีสวยงาม นั่นคือสีเงินและสีดำสเปซแบล็ค โดยที่ตัวเครื่องของทั้งคู่ทำมาจากอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
จอภาพที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก
iPad Pro ใหม่เปิดตัว Ultra Retina XDR ซึ่งเป็นจอภาพที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกเพื่อมอบประสบการณ์ด้านภาพที่สวยงามประทับใจยิ่งขึ้น โดยจอภาพ Ultra Retina XDR มาพร้อมเทคโนโลยี OLED สองชั้นสุดล้ำที่ใช้แผง OLED สองแผง และรวมแสงจากทั้งสองแผงเข้าด้วยกันเป็นความสว่างแบบเต็มหน้าจอในระดับปรากฏการณ์ iPad Pro ใหม่จึงสามารถรองรับความสว่างเต็มหน้าจอสูงถึง 1,000 นิต สำหรับคอนเทนต์ SDR และ HDR และมีความสว่างเฉพาะจุดสูงสุด 1,600 นิต ซึ่งไม่มีอุปกรณ์ไหนจะมีช่วงไดนามิกที่กว้างถึงขีดสุดในระดับนี้ได้ นอกจากนี้เทคโนโลยี OLED สองชั้นยังควบคุมสีสันและความสว่างของแต่ละพิกเซลได้ลึกถึงระดับต่ำกว่ามิลลิวินาทีเพื่อให้ XDR มีความแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ส่วนไฮไลท์แสงจัดจ้านในภาพถ่ายและวิดีโอดูสว่างขึ้น ส่วนรายละเอียดในเงามืดและที่แสงน้อยก็ชัดเจนยิ่งกว่าที่เคยเมื่ออยู่บน iPad ทั้งหมดนี้โดยที่ยังสามารถแสดงคอนเทนต์เคลื่อนไหวได้รวดเร็วฉับไวยิ่งขึ้น และสำหรับผู้ใช้ระดับโปรที่ทำงานกับเวิร์กโฟลว์ขั้นสูงที่ต้องมีการจัดการด้านสี หรือเมื่ออยู่ในสภาพแสงที่ท้าทาย ก็มีตัวเลือกกระจกผิวนาโนใหม่ให้เลือกสำหรับ iPad Pro เป็นครั้งแรกด้วย กระจกผิวนาโนมีการสลักพื้นผิวด้วยความแม่นยำระดับนาโนเมตรเพื่อรักษาคุณภาพของภาพและคอนทราสต์พร้อมๆ กับทำให้เกิดการกระเจิงของแสงเพื่อลดแสงสะท้อนให้น้อยลง ซึ่งเมื่อรวมทั้งเทคโนโลยี OLED สองชั้นสุดล้ำ, ความสว่างขั้นสุด, คอนทราสต์ที่แม่นยำน่าทึ่ง, สีสันที่สดใส และตัวเลือกกระจกผิวนาโนเข้าด้วยกันแล้ว จอภาพ Ultra Retina XDR ใหม่จึงเป็นจอภาพที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก พร้อมมอบประสบการณ์ด้านภาพที่ยากจะหาใครเทียบสำหรับลูกค้า iPad Pro
ทุกอย่างเป็นจริงได้เพราะชิป M4
ดีไซน์ที่เบาและบางเฉียบพร้อมด้วยจอภาพระดับพลิกเกมของ iPad Pro ใหม่เป็นจริงได้ก็เพราะชิป M4 ซึ่งเป็น Apple Silicon เจเนอเรชั่นถัดไปที่อัดฉีดประสิทธิภาพให้แรงขึ้นแบบก้าวกระโดด ชิป M4 สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี 3 นาโนเมตร รุ่นที่ 2 ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับดีไซน์ของ iPad Pro ใหม่ นอกจากนี้ชิป M4 ยังใช้เทคโนโลยีที่เป็นการบุกเบิกวงการอย่างเอนจิ้นจอภาพแบบใหม่หมดที่ทำให้จอภาพ Ultra Retina XDR โดดเด่นทั้งในด้านความแม่นยำ สีสัน และความสว่าง ส่วน CPU ใหม่ประกอบด้วยคอร์ด้านประสิทธิภาพสูงสุด 4 คอร์ และวันนี้มาพร้อมคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 6 คอร์ พร้อมด้วยตัวเร่งความเร็วด้านการเรียนรู้ของระบบ (ML) เจเนอเรชั่นถัดไป จึงมีประสิทธิภาพ CPU ที่เร็วกว่าชิป M2 ใน iPad Pro รุ่นก่อนหน้าสูงสุด 1.5 เท่า นอกจากนี้ ชิป M4 ยังสร้างขึ้นบนสถาปัตยกรรม GPU ของชิป M3 นั่นคือ GPU แบบ 10-core ที่มีคุณสมบัติอันทรงพลังอย่าง Dynamic Caching รวมถึงเรย์เทรซซิ่งและการให้แสงเงาแบบเมชที่เร่งความเร็วด้วยฮาร์ดแวร์ ซึ่งวันนี้มาอยู่บน iPad เป็นครั้งแรก และเมื่อรวมเข้ากับแบนด์วิดท์หน่วยความจำแบบรวมที่สูงขึ้นแล้ว ทำให้แอปด้านการเรนเดอร์ระดับโปรอย่าง Octane ทำงานได้เร็วกว่าชิป M2 สูงสุด 4 เท่า และชิป M4 ยังมีประสิทธิภาพต่อวัตต์เพิ่มสูงขึ้นมากจนอยู่ในชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมอีกด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับชิป M2 แล้ว ชิป M4 มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกันโดยใช้พลังงานเพียงแค่ครึ่งเดียว และเมื่อเทียบกับชิป PC ในแล็ปท็อปที่บางเบาแล้ว ชิป M4 มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกันโดยใช้พลังงานเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น และยังมาพร้อมมีเดียเอนจิ้นใหม่สุดล้ำที่รองรับการถอดรหัส AV1 จึงสามารถเล่นวิดีโอความละเอียดสูงจากบริการสตรีมมิ่งในแบบที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
อุปกรณ์ที่ทรงพลังเหลือล้นสำหรับ AI
iPad Pro ใหม่พร้อมชิป M4 มาพร้อม Neural Engine ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Apple เคยมีมา ซึ่งสามารถประมวลผลได้ถึง 38 ล้านล้านรายการต่อวินาที หรือเร็วกว่า Neural Engine ตัวแรกของ Apple ในชิป A11 Bionic ถึง 60 เท่าและเมื่อผนึกกำลังกับตัวเร่งความเร็ว ML เจเนอเรชั่นถัดไปใน CPU, GPU ประสิทธิภาพสูง, แบนด์วิดท์หน่วยความจำที่มากขึ้น รวมถึงคุณสมบัติอันชาญฉลาดและเฟรมเวิร์กที่เยี่ยมยอดสำหรับนักพัฒนาใน iPadOS แล้ว Neural Engine จึงทำให้ iPad Pro ใหม่กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังเหลือล้นสำหรับ AI ช่วยให้ผู้ใช้ iPad Pro พร้อมชิป M4 สามารถทำงานที่รองรับ AI ได้เร็วยิ่งขึ้น อย่างการแยกตัวแบบออกจากฉากหลังในวิดีโอ 4K ได้ง่ายๆ โดยการแตะครั้งเดียวด้วย Scene Removal Mask ใน Final Cut Pro และด้วยประสิทธิภาพที่แรงขนาดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Neural Engine ในชิป M4 จะทรงพลังยิ่งกว่าหน่วยประมวลผลแบบนิวรอลใน PC ที่รองรับ AI ทั้งหมดในตอนนี้
iPadOS ยังมีเฟรมเวิร์กขั้นสูง เช่น Core ML ที่ช่วยให้นักพัฒนาใช้ประโยชน์จาก Neural Engine เพื่อขับเคลื่อนคุณสมบัติ AI อันเหนือชั้นบนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย อย่างการรันโมเดล Diffusion และ Generative AI อันทรงพลังด้วยประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมได้เลยในเครื่อง นอกจากนี้ iPad Pro ยังรองรับโซลูชั่นแบบคลาวด์ ผู้ใช้จึงสามารถใช้งานแอปเพื่อการทำงานและการสร้างสรรค์อันทรงพลังที่อาศัยความสามารถของ AI เช่น Copilot สำหรับ Microsoft 365 และ Adobe Firefly
กล้องระดับโปร
ระบบกล้องใน iPad Pro ได้รับการอัปเดตให้มีความอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น และยิ่งมีระบบเสียงที่เต็มอิ่มจากไมโครโฟน 4 ตัวคุณภาพระดับสตูดิโอด้วยแล้ว ผู้ใช้จึงสามารถถ่าย ปรับแต่ง และแชร์ทุกอย่างได้จากอุปกรณ์เครื่องเดียว กล้องหลัง 12MP ถ่ายภาพและวิดีโอด้วยคุณสมบัติ HDR อัจฉริยะได้อย่างสวยสดงดงาม ทั้งสีสันที่จัดจ้านยิ่งขึ้น พื้นผิวที่คมชัดยิ่งขึ้น และรายละเอียดในสภาพแสงน้อยที่ครบยิ่งกว่าเดิม และวันนี้ยังมาพร้อมกับแฟลช True Tone ใหม่ที่ปรับตามสภาวะ ซึ่งช่วยให้ iPad Pro สแกนเอกสารได้ดียิ่งกว่าที่เคย ยิ่งกว่านั้น iPad Pro ใหม่ยังใช้ AI เพื่อระบุประเภทเอกสารตั้งแต่ในแอปกล้องโดยอัตโนมัติ และหากเจอเงาก็จะถ่ายภาพหลายภาพด้วยแฟลชใหม่ที่ปรับตามสภาวะ แล้วนำมาต่อเข้าด้วยกันเป็นภาพสแกนที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ระบบกล้อง TrueDepth ด้านหน้าย้ายไปอยู่ในตำแหน่งแนวนอนบน iPad Pro ใหม่ โดยมีกล้องอัลตร้าไวด์ 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางหรือ Center Stage ซึ่งช่วยให้การประชุมแบบวิดีโอในแนวนอนดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่ติด iPad เข้ากับ Magic Keyboard หรือ Smart Folio
การเชื่อมต่อระดับโปร
iPad Pro มาพร้อมช่องต่อ USB-C ประสิทธิภาพสูงที่รองรับ Thunderbolt 3 และ USB 4 จึงเชื่อมต่อด้วยสายได้เร็วสูงสุด 40Gb/s โดยที่ Thunderbolt รองรับอุปกรณ์เสริมประสิทธิภาพสูงหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นจอภาพภายนอกอย่าง Pro Display XDR แบบเต็มความละเอียด 6K หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก ซึ่งทั้งหมดนี้เชื่อมต่อโดยใช้สายและด็อคประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ iPad Pro ยังรองรับ Wi-Fi6E เพื่อการเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่เร็วสุดขีดทุกที่ทุกเวลาสำหรับเวิร์กโฟลว์ระดับโปร ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular ที่มี 5G ก็ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงไฟล์ ติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน และสำรองข้อมูลได้ในพริบตาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และ iPad Pro ใหม่ในรุ่นเซลลูลาร์ยังเปิดใช้งานด้วย eSIM ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าซิมการ์ดจริง ผู้ใช้จึงสามารถเชื่อมต่อและถ่ายโอนแผนบริการที่มีอยู่แบบดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว และจัดเก็บแผนบริการเซลลูลาร์หลายแผนไว้ในอุปกรณ์เครื่องเดียวได้ ลูกค้าจึงสามารถเชื่อมต่อกับแผนข้อมูลไร้สายบน iPad Pro ใหม่ได้อย่างง่ายดายในกว่า 190 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลกโดยไม่จำเป็นต้องขอรับซิมการ์ดจริงจากผู้ให้บริการในพื้นที่
Apple Pencil Pro
Apple Pencil Pro มาพร้อมความสามารถที่มหัศจรรย์มากยิ่งขึ้นและการโต้ตอบใหม่ๆ อันทรงพลังที่จะยกระดับประสบการณ์ Apple Pencil ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เซ็นเซอร์ใหม่ที่อยู่ในด้ามสามารถรับรู้เมื่อผู้ใช้บีบ และจะแสดงชุดเครื่องมือเพื่อให้ผู้ใช้สลับเครื่องมือ น้ำหนักเส้น และสีได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้โดยไม่รบกวนกระบวนการสร้างสรรค์ ส่วนเอนจิ้นแบบสั่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะจะสั่นเบาๆ เพื่อยืนยันเมื่อผู้ใช้บีบ แตะสองครั้ง หรือคลิกไปที่ Smart Shape เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ยังมีไจโรสโคปที่ให้ผู้ใช้หมุน Apple Pencil Pro เพื่อควบคุมเครื่องมือที่ใช้อยู่ได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่หมุนด้ามก็สามารถเปลี่ยนแนวของเครื่องมือประเภทปากกาและแปรงรูปทรงต่างๆ เช่นเดียวกับการใช้ปากกาและกระดาษจริงๆ และยังสามารถใช้การยกปลาย Apple Pencil เพื่อดูแนวการหมุนของเครื่องมือได้อย่างแม่นยำก่อนจะลงมือเขียนอีกด้วย
คุณสมบัติอันล้ำสมัยทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ใช้ Apple Pencil Pro สามารถถ่ายทอดไอเดียให้ออกมาโลดแล่นด้วยวิธีใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ส่วนนักพัฒนาก็สามารถสร้างวิธีการโต้ตอบในแบบของตัวเองได้ด้วย และ Apple Pencil Pro ยังรองรับแอปค้นหาของฉัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับ Apple Pencil ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา Apple Pencil Pro ได้หากทำหาย ทั้งยังจับคู่ ชาร์จ และจัดเก็บด้วยแม่เหล็กโดยการติดไว้ด้านข้างของ iPad Pro ได้อีกด้วย ยิ่งกว่านั้น iPad Pro ยังรองรับ Apple Pencil (USB-C) ซึ่งเหมาะสำหรับการจดโน้ต สเก็ตช์ ใส่คำอธิบายประกอบ เขียนบันทึก และอีกมากมายในราคาที่คุ้มค่า
Magic Keyboard และ Smart Folio แบบใหม่หมด
Magic Keyboard แบบใหม่หมดที่ทั้งบางและเบาขึ้นได้รับการออกแบบมาสำหรับ iPad Pro ใหม่เพื่อให้พกพาง่ายและอเนกประสงค์ยิ่งขึ้น โดย Magic Keyboard ใหม่นั้นมาในดีไซน์มหัศจรรย์แบบยกลอยที่ลูกค้าชื่นชอบ และวันนี้ยังมาพร้อมกับแถวปุ่มฟังก์ชั่นสำหรับเรียกใช้คุณสมบัติต่างๆ อย่างความสว่างหน้าจอและการควบคุมระดับเสียง อีกทั้งยังมีที่พักมืออะลูมิเนียมอันสวยงามและแทร็คแพดกระจกขนาดใหญ่ขึ้นที่ใช้งานได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้นและยังตอบสนองแบบสั่นได้ด้วยเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่รู้สึกเหมือนกำลังใช้ MacBook และ Magic Keyboard ใหม่ยังติดเข้ากับ iPad ด้วยแม่เหล็กโดยมี Smart Connector ที่จะเชื่อมต่อเพื่อจ่ายไฟและรับส่งข้อมูลในทันทีโดยไม่ต้องใช้ Bluetooth ส่วนบานพับอะลูมิเนียมที่ตัดแต่งด้วยเครื่องจักรก็มาพร้อมช่องต่อ USB-C สำหรับชาร์จ นอกจากนี้ Magic Keyboard ใหม่ยังมีให้เลือก 2 สีที่เข้ากับ iPad Pro ใหม่อย่างลงตัว นั่นคือสีดำพร้อมที่พักมืออะลูมิเนียมสีดำสเปซแบล็ค และสีขาวพร้อมที่พักมืออะลูมิเนียมสีเงิน
Smart Folio ใหม่สำหรับ iPad Pro ยึดติดด้วยแม่เหล็กและวันนี้สามารถปรับองศาการมองได้หลากหลายเพื่อความยืดหยุ่นที่มากขึ้น โดยมีให้เลือกทั้งสีดำ สีขาว และสีฟ้าเดนิมที่เข้ากับ iPad Pro ใหม่ได้เป็นอย่างดี
คุณสมบัติ iPadOS อันทรงพลัง
iPadOS มาพร้อมคุณสมบัติมากมายที่ขยายขีดจำกัดให้กับความเป็นไปได้บน iPad อย่างโหมดอ้างอิงใน iPadOS ที่สามารถปรับสีของจอภาพ Ultra Retina XDR ให้ตรงตามข้อกำหนดได้อย่างแม่นยำสำหรับงานที่เน้นความถูกต้องของสีสันและความสม่ำเสมอของคุณภาพรูปภาพ อย่างการรีวิวและอนุมัติ การปรับแก้สี และการรวมองค์ประกอบภาพ ขณะที่คุณสมบัติตัวจัดการให้อยู่ตรงกลางช่วยให้ผู้ใช้ทำงานบนหน้าต่างหลายบานที่ทับซ้อนกันในมุมมองเดียว ปรับขนาดหน้าต่าง แตะเพื่อสลับระหว่างแอป และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังรองรับจอภาพภายนอกเต็มความละเอียดสูงสุดถึง 6K ช่วยให้ผู้ใช้ iPad Pro สามารถขยับขยายเวิร์กโฟลว์ได้ รวมถึงการใช้กล้องในตัวของจอภาพภายนอกเพื่อการประชุมแบบวิดีโอที่ดียิ่งขึ้น และผู้ใช้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถด้าน AI ใน iPad Pro และคุณสมบัติอันชาญฉลาดใน iPadOS อย่างการค้นดูจากภาพ การดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง การดึงข้อความในภาพ หรือคำบรรยายสดและเสียงส่วนตัวสำหรับการช่วยการเข้าถึง
ใน iPadOS 17 ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอล็อคให้ตรงความต้องการได้มากขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากจอภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นของ iPad รวมถึงวิดเจ็ตแบบอินเทอร์แอ็คทีฟที่ให้คุณทำอะไรกับข้อมูลได้มากกว่าแค่เหลือบมอง ส่วนแอปโน้ตก็เพิ่มวิธีใหม่ๆ ในการจัดระเบียบ อ่าน ใส่คำอธิบายประกอบ และทำงานร่วมกันบน PDF ขณะที่การทำงานกับ PDF ก็ง่ายยิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติการป้อนอัตโนมัติที่จะระบุและกรอกช่องในแบบฟอร์มได้อย่างชาญฉลาด
Logic Pro สำหรับ iPad 2
Logic Pro สำหรับ iPad 2 ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม มาพร้อมคุณสมบัติ Studio Assistant อันน่าทึ่งที่จะยกระดับกระบวนการทำเพลงและคอยช่วยเหลือศิลปินในเวลาที่ต้องการโดยที่ศิลปินยังคงควบคุมการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเต็มที่ และคุณสมบัติเหล่านี้ยังมี Session Players ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Drummer ที่หลายคนชื่นชอบใน Logic โดยที่วันนี้มาพร้อม Bass Player และ Keyboard Player ใหม่ รวมถึง ChromaGlow ที่จะเพิ่มความลุ่มลึกให้กับแทร็คในทันที และ Stem Splitter ที่จะแยกการบันทึกเสียงที่มีอยู่ชิ้นเดียวออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน
Final Cut Pro สำหรับ iPad 2
Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 ซึ่งจะพร้อมใช้งานภายในปีนี้ มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่อย่าง Live Multicam ที่จะพลิกโฉม iPad ให้กลายเป็นสตูดิโอโปรดักชั่นแบบพกพา ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูและควบคุม iPhone และ iPad แบบไร้สายได้สูงสุดถึง 4 เครื่อง นอกจากนี้ยังมีแอปสำหรับการบันทึกวิดีโอแบบใหม่หมดบน iPad และ iPhone เพื่อรองรับ Live Multicam ด้วย นั่นคือแอป Final Cut Camera ซึ่งให้ผู้ใช้ควบคุมตัวเลือกต่างๆ อย่างไวท์บาลานซ์, ISO และความไวชัตเตอร์ รวมถึงเครื่องมือในการมอนิเตอร์อย่างตัวบอกเมื่อแสงโอเวอร์และ Focus Peaking นอกจากนี้ Final Cut Camera ยังทำงานเป็นแอปแยกเดี่ยวสำหรับการบันทึกวิดีโอ หรือจะใช้งานร่วมกับ Live Multicam ก็ได้ ยิ่งกว่านั้น Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างหรือเปิดโปรเจ็กต์จากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับนักตัดต่อและเพิ่มตัวเลือกใหม่ๆ ในด้านคอนเทนต์
iPad Pro กับสิ่งแวดล้อม
iPad Pro ใหม่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อย่างการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ในตัวเครื่อง, ใช้แร่โลหะหายากรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น รวมถึงใช้ทองคำและตะกั่วบัดกรีรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้น และ iPad Pro ใหม่ ยังได้มาตรฐานระดับสูงของ Apple ด้านการประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังปลอดสารปรอท สารหน่วงการติดไฟกลุ่มโบรมีน และ PVC ในขณะที่บรรจุภัณฑ์ใช้เยื่อไม้เป็นหลัก 100% ซึ่งทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายในการขจัดพลาสติกออกจากบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025 มากยิ่งขึ้น
วันนี้ Apple มีความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับการดำเนินงานในระดับองค์กรทั่วโลก และเราวางแผนที่จะทำให้ซัพพลายเชนในการผลิตทั้งหมดรวมถึงอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 ด้วย
ราคาและการวางจำหน่าย
- ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPad Pro พร้อมชิป M4 ใหม่ได้เร็วๆนี้ทาง apple.com/th/store และในแอป Apple Store
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ใหม่ มีให้เลือกทั้งสีเงินและสีดำสเปซแบล็คในรุ่นความจุ 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB
- iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 47,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ส่วน iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 52,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 60,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular ดูข้อมูลทางเทคนิคเพิ่มเติมรวมถึงตัวเลือกกระจกผิวนาโนได้ที่ apple.com/th/store
- ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้วใหม่อยู่ที่ 35,900 บาท และสำหรับ iPad Pro รุ่น 13 นิ้วใหม่อยู่ที่ 48,800 บาท ราคาส่งเสริมการศึกษาสามารถใช้ได้กับนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือเพิ่งเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและผู้ปกครอง รวมถึงอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ apple.com/th-edu/store
- Apple Pencil Pro ใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ได้ และมีจำหน่ายในราคา 4,990 บาท Apple Pencil Pro มีจำหน่ายในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 4,600 บาท
- Apple Pencil (USB-C) สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ และมีจำหน่ายในราคา 3,190 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 2,790 บาท
- Magic Keyboard ใหม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Pro ใหม่ และมีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาว โดย Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้ว ใหม่มีจำหน่ายในราคา 11,990 บาท ส่วน Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้ว มีจำหน่ายในราคา 13,990 บาท และมีเลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้ว อยู่ที่ 11,200 บาท และสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 13,200 บาท
- Smart Folio ใหม่มีจำหน่ายในราคา 3,390 บาท ในสีดำ สีขาว และสีฟ้าเดนิมสำหรับ iPad Pro รุ่น 11 นิ้วใหม่ และ 4,190 บาท สำหรับ iPad Pro รุ่น 13 นิ้วใหม่
- Logic Pro สำหรับ iPad 2 จะพร้อมใช้งานในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยเป็นการอัปเดตฟรีสำหรับผู้ใช้งานเดิม ส่วนผู้ใช้งานใหม่นั้นสามารถดาวน์โหลดได้ใน App Store ในราคา 199 บาท ต่อเดือน หรือ 1,990 บาท ต่อปี โดยมีการทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน Logic Pro สำหรับ iPad 2 ต้องใช้กับ iPadOS 17.4 หรือใหม่กว่า ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ apple.com/th/logic-pro-for-ipad
- Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 จะพร้อมให้ดาวน์โหลดภายในปีนี้ใน App Store ในราคา 199 บาท ต่อเดือน หรือ 1,990 บาท ต่อปี โดยมีการทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน