มองย้อนสภาวการณ์ เร่งรีบสู่ระบบคลาวด์ ของเอเชียแปซิฟิค ในยุคโควิด-19ถึงเวลาที่จะหันกลับมาทบทวนการตัดสินใจบางอย่างที่ธุรกิจอาจรีบเร่งไปในช่วงโควิด-19


การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงปีแรก ส่งผลให้หลายบริษัททะยานสู่การใช้งานระบบคลาวด์ เพื่อเป็นช่องทางที่จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปต่อได้อย่างราบรื่นและมั่นคง เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทีมไอทีของบริษัทต่าง ๆ ได้ทำการเปลี่ยนรูปแบบการใช้เทคโนโลยีเพื่อรองรับการทำงานทางไกล ผ่านการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในระบบการจัดซื้อ การขาย การบริการ และอื่น ๆ

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าสถิติการใช้จ่ายของการทำงานบนระบบคลาวน์สาธารณะของประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 17.7% เป็น 18.3 พันล้านบาทในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 25.2% เป็น 22.9 พันล้านบาทในปีนี้

ดังนั้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองคลาวด์โดยเปล่าประโยชน์ อุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้จ่ายบนระบบคลาวด์ ที่จะช่วยให้เราเห็นข้อมูลพื้นที่การใช้งานของโครงสร้างไอทีแบบไฮบริดได้อย่างละเอียดและทันท่วงที จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการควบคุมและจัดการสถานการณ์ที่อาจเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายบนระบบคลาวด์

จาก ‘ยก-และ-ย้าย’ เป็น ‘ยก-และ-ยอมเปลี่ยน’

หลายบริษัทที่ยกระดับการใช้งานระบบคลาวด์ภายในองค์กรในระหว่างการปิดประเทศ มักจะใช้วิธี “ยก-และ-ย้าย (lift-and-shift)” หรือวิธีการที่ข้อมูลหรืองานต่าง ๆ ของบริษัทจะถูกคัดลอกไปวางบนระบบคลาวด์ทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้มั่นใจว่าบริการธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท ยังสามารถเปิดใช้เข้าถึงได้สำหรับพนักงานที่ต้องย้ายที่ทำงานกระทันหันหรือสำหรับผู้ใช้ภายนอกก็ตาม

เมื่อไม่นานมานี้ เน็ตแอพได้เข้าไปช่วยบริษัทการตลาดทางอีเมลต่างชาติบริษัทหนึ่ง ในการ ยก-และ-ย้าย ข้อมูลนับล้านไฟล์ไปสู่ระบบคลาวด์ เพื่อให้บริษัทสามารถขยายขนาดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ มหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย ได้ใช้บริการของเน็ตแอพในการจัดการข้อมูลที่กำลังถูกย้ายไปบนแพลตฟอร์มคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการรวบรวมข้อมูลให้แก่เหล่านักเรียนและผู้ค้นคว้าวิจัย ในขณะเดียวกัน ยังช่วยให้มหาวิทยาลัยโมนาชสามารถลดค่าใช้จ่ายเงินทุนและปรับขนาดพื้นที่ความจุบนคลาวด์ให้มากขึ้นหรือน้อยลงได้ตามต้องการ

ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจกระตุ้นให้ธุรกิจต่าง ๆ ทำการยกย้ายข้อมูลไปบนระบบคลาวด์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ในความจริงแล้วมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด จริงอยู่ ที่ในทางเทคนิคแล้วเราสามารถทำงานหรือธุรกิจต่าง ๆ ได้บนคลาวด์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การทำงาน และแอพพลิเคชันที่ใช้ภายในองค์กร – ในสถานะและรูปแบบอย่างในปัจจุบัน – จะได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการทำงานบนคลาวด์เสมอไป บริษัทต่าง ๆ อาจต้องเผชิญปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของเครื่องมือ เช่น รหัสเดิมบนแอพพลิเคชันถูกใช้งานบนซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยไปแล้ว เป็นต้น อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ อาจเกิดจากการถ่ายโอนข้อมูลผ่านสถานที่ต่าง ๆ ก็เป็นได้เช่นกัน

ดังนั้น บริษัทควรพิจารณาว่าแอพพลิชันอะไรบ้างที่ควรย้ายกลับเข้าไปใช้แค่ภายในองค์กร รวมถึงปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ากันได้กับโครงสร้างระบบคลาวด์แบบใหม่ หรือ วางแผนออกแบบโครงสร้างและจำทำใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สามารถใช้งานบนระบบคลาวด์ได้ทุกสภาวะ

ความหวังที่ซ่อนอยู่ของการย้ายสู่ระบบคลาวด์

เนื่องจากหลายธุรกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งหลังหมดโรคระบาด ดังนั้นการใช้จ่ายของการทำงานบนระบบคลาวด์ในประเทศไทย ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 22.9 พันล้านบาท ในปี 2564 นั้น บริษัทควรพิจารณาการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปหากจะลองเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อการย้ายสู่คลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น – ซึ่งหนึ่งในวิธีการคือการทำให้มั่นใจว่าแอพพลิเคชันที่รองรับข้อมูลบริษัทจะหยุดชะงักบนระบบคลาวด์น้อยครั้งที่สุด และยังสอดคล้องกับงบประมาณด้านไอทีของบริษัทอีกด้วย

การเลือกพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อให้ได้รับการทำงานบนระบบคลาวด์และข้อมูลที่ดีที่สุด และยังคงไว้ซึ่งคุณค่าที่คู่ควรนั้น เป็นกุญแจสำคัญสำหรับบริษัทที่ต้องการความยืดหยุ่น และพร้อมก้าวไปสู่ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดย: คุณวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็ตแอพ ประจำประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
 
ใหม่กว่า เก่ากว่า